Back to Schedule
Donate

    คำนำ

    พันธกิจของโยคานันทะที่ต้องอธิบายถึงความเป็นหนึ่งเดียวเบื้องหลังคัมภีร์ทั้งหลาย

    พันธกิจตลอดชีวิตอย่างหนึ่งของท่านปรมหังสา โยคานันทะคือการสนับสนุนสัจจะหนึ่งเดียวเบื้องหลังศาสนาแท้ทั้งหลาย ให้ผู้แสวงหาความจริงทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกได้เข้าถึงศาสตร์สากลแห่งการหยั่งรู้พระเจ้า—วิธีปลุกญาณทิพย์ที่แฝงอยู่ในมนุษย์ทุกคนให้ตื่นขึ้น

    วิธีหนึ่งที่ปรมหังสา โยคานันทะส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวของศาสนาทั้งหลายในโลก คือผ่านบทบรรยายและข้อเขียน เปิดเผยความจริงอันเหนือมิติธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในมหาคัมภีร์ของโลกตะวันออกและตะวันตก แสดงให้เห็นว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้นำผู้แสวงธรรมไปบนวิถีสากลเดียวกันสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

    ในหน้านี้ท่านจะได้อ่านบทคัดย่อการตีความซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูง จากพระวรสารของนักบุญทั้งสี่ท่านในพระคัมภีร์ใหม่ ภควัทคีตาแห่งอินเดีย และรุไบยาตของโอมาร์ คัยยัม (ซึ่งแม้โดยตัวมันเองไม่ถือว่าเป็น “คัมภีร์” แต่รุไบยาตก็เป็นงานกวีรหัสยนัยอันเป็นที่รัก ซึ่งได้เปิดเผยทิพยสัจจะที่ซ่อนเร้นในคำสอนของศาสนาอิสลามนิกายซูฟี)

    สัจจะที่ซ่อนเร้นในพระวรสาร

    ข้างล่างนี้ท่านจะได้อ่านบทคัดย่อจาก การเสด็จครั้งที่สองของพระคริสต์: ฟื้นคืนพระคริสต์ในตัวเรา อรรถาธิบายพระวรสารแห่งพระคัมภีร์ใหม่ ฉบับ 2 เล่มชุด

    ดังที่ปรมหังสาจีกล่าวว่า “พระเยซูลงลึกในคำสอน ที่ดูเผินๆ เสมือนง่าย—ลึกซึ้งกว่าที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจ...ที่อยู่ในคำสอนของพระองค์คือโยคศาสตร์ทั้งหมด วิถีเหนือมิติในการรวมกับพระเจ้าโดยการทำสมาธิ”


    Jesus Christ

    คำนำ

    สิ่งที่ข้าพเจ้านำเสนอแก่โลกในหนังสือเล่มนี้ เป็นสัจธรรมที่ข้าพเจ้าได้รับได้เห็น และตีความคำสอนของพระเยซูด้วยสหัชญาณจากประสบการณ์จริงกับคริสต์จิต...เผยให้เห็นเอกภาพอันบริบูรณ์ระหว่างการแผ่เผยสัจธรรมในพระคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ในภควัทคีตาของอินเดีย และคัมภีร์แท้ทั้งหลายที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว

    พระผู้ไถ่แห่งโลก มิได้เสด็จมาเพื่อบัญญัติหลักการอันแบ่งแยกแตกต่าง สร้างความเป็นศัตรู คำสอนของท่านเหล่านั้นจึงไม่ควรถูกใช้เพื่อเป้าหมายนั้น การเรียกพระคัมภีร์ใหม่ว่าเป็นคัมภีร์ของ “ชาวคริสต์” ก็มีนัยที่ไม่ตรงความจริง เพราะคำสอนนี้มิได้เป็นของศรัทธาใดศรัทธาเดียว สัจธรรมความจริงเป็นพรและเป็นความอิ่มเอมใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง เช่นเดียวกับคริสตจิตอันเป็นสากล พระเยซูคริสต์จึงเป็นของมนุษย์ทุกคน...

    การตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า การเสด็จครั้งที่สองของพระคริสต์ นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความตามตัวอักษร ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาในโลก...ต่อให้พระคริสต์พันพระองค์เสด็จมาสู่โลกก็ไม่อาจไถ่ผู้คนได้ ถ้าพวกเขาไม่ทำตนให้เหมือนพระคริสต์ด้วยการชำระและขยายจิตปัจเจกของตนรับการเสด็จครั้งที่สองของคริสตจิตดังที่สำแดงอยู่ในองค์พระเยซู...การเชื่อมโยงกับคริสตจิต ได้ประสบการณ์เบิกบานใหม่เสมอในการทำสมาธิ นั่นแหละคือการเสด็จครั้งที่สองของพระคริสต์อย่างแท้จริง—ซึ่งจะเกิดในจิตของผู้ภักดีนั่นเอง

    “พระบุตรองค์เดียว”: คริสตจิต

    เยซู กับ คริสต์ มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างยิ่ง เยซูคือพระนามของพระองค์ ส่วน “คริสต์” คือพระนามที่แสดงการให้พระเกียรติ กายมนุษย์นามเยซูเป็นที่สถิตของคริสตจิตอันไพศาล หรือพระปัญญาญาณอันทรงพลานุภาพแห่งพระเจ้าอันสถิตทั่วทุกหนแห่งและทุกสรรพสิ่งที่รังสรรค์ จิตนี้คือ “พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” เป็นภาพสะท้อนอันบริบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในสิ่งสร้างของสัจธรรมสูงสุด บรมวิญญาณ หรือ พระบิดาเจ้า

    นักบุญยอห์นได้พูดถึงพระจิตอันไพศาลที่เปี่ยมด้วยความรักและความปีติแห่งพระเจ้านี้ เมื่อท่านกล่าวว่า “ยิ่งรับพระองค์ (คริสตจิต) มากเท่าใด พระองค์จะประทานอำนาจให้พวกเขากลายเป็นลูกของพระเจ้า”...

    ศาสตร์การทำสมาธิซึ่งมุนีและโยคีอินเดียรู้จักกันมานานหลายพันปี ที่พระเยซูและผู้แสวงหาพระเจ้าได้เคยรู้ จะช่วยขยายจิตของพวกเขาให้รู้แจ้ง—รับพระปัญญาสากลแห่งพระเจ้าในตัวเขาเอง

    วิดีโอ: “คริสต์จิต: เป้าหมายของเราทุกคน”

    ในวิดีโอสั้นๆ บทคัดย่อจากพิธีธรรมและการปฏิบัติสมาธิในเทศกาลอีสเตอร์นี้ ภราดาจิทานันทะ ประธานแห่งเอสอาร์เอฟ/วายเอสเอส ได้อธิบายความสำคัญลึกซึ้งที่ท่านปรมหังสา โยคานันทะได้ย้ำคำกล่าวของนักบุญยอห์นข้างต้น และท่านปรมหังสาจีได้สอนว่าเป็นไปได้จริงๆ ที่เราทุกคนจะหยั่งรู้คริสตจิตอันไพศาลในตน ซึ่งสำแดงในองค์พระเยซู ด้วยการปฏิบัติคำสอนและวิธีปฏิบัติในบทเรียนเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ

    สัจจะที่ซ่อนเร้นในอุปมาอุปไมยของพระเยซู

    ส่วนสาวกทั้งหลายจึงมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ตรัสตอบว่า “ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ ...เพราะเหตุนี้เราจึงกล่าวกับพวกเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงพวกเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ”

    เมื่อบรรดาสาวกถามพระเยซูว่า ทำไมพระองค์จึงสอนผู้คนด้วยการอุปมาอุปไมย พระองค์ตรัสว่า “เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้พวกท่านทั้งหลายซึ่งเป็นศิษย์แท้จริงของเรา ดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรม และควบคุมการประพฤติตามคำสอนของเรา ท่านจึงสมควรได้รู้ตื่นภายในจากการทำสมาธิในที่จะเข้าใจความจริงอันลับเร้นแห่งสวรรค์ และวิธีเข้าถึงแผ่นดินพระเจ้า หรือจิตจักรวาลอันซ่อนอยู่ในการสร้างอันสั่นสะเทือนของมายาจักรวาล แต่คนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เตรียมพร้อมพอที่จะรับ จึงไม่อาจเข้าใจหรือปฏิบัติสัจจะอันกอปรด้วยปัญญาลึกซึ้ง อุปมาอุปไมยจะทำให้พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวสัจจะง่ายๆ ที่พวกเขาพอจะเข้าใจได้ด้วยปัญญาที่เราได้ให้แก่เขา เมื่อพวกเขาสามารถปฏิบัติสิ่งที่รับได้ พวกเขาก็จะค่อยๆ ก้าวไปสู่การไถ่บาป”...

    ทำไมผู้ที่พร้อมรับความจริงเห็นความจริงได้ ส่วนผู้ไม่พร้อม “เห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ” ก็เพราะว่าสัจจะสูงสุดของสวรรค์และแผ่นดินของพระเจ้าเป็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังการรับรู้ด้วยประสาทรับความรู้สึก พ้นจากการรับรู้ด้วยการคิดหาเหตุผล ทว่าเข้าถึงด้วยสหัชญาณ—ที่จะปลุกปัญญา การเข้าใจแจ้งแห่งวิญญาณให้ตื่น

    พระเยซู พระคริสต์แห่งโลกตะวันออก—มหาโยคี

    ชาวโลกตีความคำว่า คริสต์ กันอย่างผิดๆ แม้หลักการพื้นฐานที่สุดในคำสอนของพระองค์ก็ถูกบิดเบือน และความหมายรหัสยนัยลึกซึ้งก็ถูกลืม ถูกตรึงกางเขนด้วยน้ำมือของทฤษฎีนิยม อคติและความเข้าใจอันจำกัด สงครามล้างเผ่าพันธุ์เกิดแล้วเกิดเล่า ผู้คนถูกเผาเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดทำให้ศาสนาแตกแยก ด้วยอำนาจที่ศาสนจักรทึกทักว่าเป็นของตน เราจะทำให้อมตะคำสอนนี้พ้นจากเงื้อมมือของความโง่หลงได้อย่างไร เราต้องรู้ว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์แห่งโลกตะวันออก มหาโยคีผู้สำเร็จศาสตร์สากลแห่งการรวมกับพระเจ้า พระองค์จึงสามารถตรัสและปฏิบัติในฐานะพระผู้ไถ่ ด้วยพระสุรเสียงและอำนาจแห่งพระเจ้า พระองค์ถูกทำให้เป็นชาวตะวันตกมากเกินไป

    god_realization_Jesus_Christ.jpg#asset:2254


    รหัสยสัจจะเปิดเผยศาสนาสากลแห่งการสื่อสารกับพระเจ้า

    รหัสยคำสอนครอบคลุมทฤษฎีสากลแห่งศาสนา การเข้าใจสัจจะแห่งรหัสยนัยเผยให้เห็นความไพศาลอันเป็นหนึ่งดียว...พระเจ้าไม่ได้อวตารเพื่อนำศาสนาใหม่หรือศาสนาที่คับแคบมาสู่โลก หากแต่มาฟื้นฟูศาสนาแห่งการหยั่งรู้พระเจ้า

    flower

    โบสถ์วิหารหลายแห่งก่อตั้งในนามของพระองค์ ส่วนใหญ่มั่งคั่งและมีอำนาจ แต่การสื่อสารกับพระเจ้า—การสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างแท้จริง ที่พระองค์ทรงย้ำนั้นอยู่ที่ไหน สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด คือพระเยซูประสงค์การสร้างวิหารในวิญญาณมนุษย์ แล้วจึงสร้างสถานบูชาภายนอก แต่กลับมีอาคารใหญ่โตอย่างนับไม่ถ้วน ผู้ศรัทธามากมายถูกฝังหัวให้เป็นศรัทธาโบสถ์ มีวิญญาณเพียงน้อยนิดที่สัมผัสกับพระคริสต์อย่างแท้จริงในการอธิษฐานลึกล้ำและการทำสมาธิ

    กลับไปหาพระวรสารจากพระเยซู

    เพราะปัจเจกขาดการอธิษฐานและการสื่อสารกับพระเจ้า ชาวคริสต์ยุคใหม่และคริสตนิกายต่างๆ จึงห่างไกลจากคำสอนถึงการเห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง และนี่เป็นความจริงในวิถีศาสนาทั้งหลายที่พระเจ้าส่งพระผู้เผยพระวจนะมา ทว่าสาวกเฉไฉออกนอกทางการสื่อสารที่แท้จริงกับพระเจ้าไปติดทฤษฎีและพิธีกรรม วิถีที่ไม่มีการฝึกยกวิญญาณด้านรหัสยนัยจะมัววุ่นวายอยู่กับทฤษฎีและสร้างกำแพงแบ่งผู้คนด้วยแนวคิดที่แตกต่าง ทิพยบุคคลผู้เห็นพระเจ้าอย่างแท้จริงรวมทุกคนไว้ในวิถีแห่งความรักของตน ไม่ใช่ในแง่การเลือกศรัทธาโบสถ์ แต่ด้วยการเคารพทิพยไมตรีของผู้รักพระเจ้าและนักบุญของทุกศาสนาอย่างแท้จริง

    flower

    เมษโปดกแห่งวิญญาณอ้าแขนรับทุกคน ไม่ปฏิเสธผู้ใด ใช้รักสากลชักชวนโลกให้เดินตามไปบนวิถีการหลุดพ้น ตามแบบอย่างที่ท่านได้ทำในการเสียสละ การละวาง การอภัย รักเพื่อนและศัตรู และเหนืออื่นใดคือรักพระเจ้า ดุจเดียวกับพระกุมารในรางหญ้าแห่งเบธเลเฮม และพระผู้ไถ่ผู้บำบัดผู้ป่วยช่วยคนตายให้ฟื้น ใช้โอสถแห่งความรักรักษาบาดแผลแห่งความผิดพลาด พระคริสต์ในพระเยซูอยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์ เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้คนที่อาจฝึกฝนการมีชีวิตเหมือนพระเจ้า

    ความรักสุดจะพรรณนาได้แห่งพระเจ้า

    ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเรา และถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น...

    “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา และติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์ เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม”

    พระเยซูทรงสัญญากับสาวกว่า “ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเรา และถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่าน” —ถ้าจิตของพวกเขารวมกับคริสตจิตและพลังสั่นสะเทือนแห่งจักรวาลอย่างบริบูรณ์—จิตอันทรงพลังนี้สามารถกระทำการอัศจรรย์ผ่านกฎการรังสรรค์จักรวาล...

    จากนั้นพระเยซูทรงกล่าวถ้อยคำล้ำค่ากว่าสิ่งใดฝากไว้ในใจสาวก ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างไม่ลำเอียง ไม่เสื่อมคลาย ดุจเดียวกับที่พระบิดาผู้สถิตบนสวรรค์ทรงรักพระองค์...ลองจินตนาการถึงความรักที่พระเยซูตรัสในโศลกเหล่านี้...

    การจะรู้สึกถึงความรักแห่งวิญญาณของหัวใจที่บริสุทธิ์ทั้งหมดได้นั้น ต้องเข้าถึงความปีติอย่างเต็มเปี่ยม—พลังความปีติที่ไม่อาจจำกัดไว้กับที่ ซึ่งพุ่งผ่านตัวตนด้วยความสุขล้นนับพันล้านโวลท์ อารมณ์ทิพย์เช่นนี้เกินกว่าจะพรรณนาได้—การสนทนาอันหวานชื่นกับพระสิริอันไพศาล พระเกียรติอันสุดที่จะพรรณนา และการคุ้มครองนิรันดร์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสัมผัส และทรงขอให้สาวกเอาความรักนี้เป็นที่พึ่ง “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น”

    flower

    พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกพระวจนะของพระเยซู ณ โอกาสศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่ผู้อ่านพึงตระหนัก—และพยายามทำความรู้สึกว่าตนอยู่ ณ ที่นั้นด้วย—รับรู้พลังสั่นสะเทือนของพระเจ้าเบื้องหลังคำตรัสเหล่านี้ ณ ช่วงเวลาพบกับพระเจ้า (สัตสังคะ) เช่น เมื่อพระเยซูเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายกับสาวก จิตของผู้ที่รับได้เร็วจะยกสูงสู่การหยั่งรู้พระเจ้า สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนหลั่งไหลสู่ใจและจิตของเขา การปรับรับนี้ซึมซ่านในจิตของศิษย์ และจะทำได้อย่างดีเลิศ เมื่อเขาน้อมนำสิริของคุรุมาบูชา ณ วิหารใจในการทำสมาธิล้ำลึก

    การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู กับ พระสถิตนิรันดร์ของพระองค์

    ในอินเดีย โยคีผู้สำเร็จแล้วเข้าใจการชุบชีวิตกันอย่างดีมาตั้งแต่เมื่อเริ่มยุคประเสริฐ พระเยซูทรงเป็นโยคีผู้หยั่งรู้: ผู้รู้และเชี่ยวชาญมิติวิญญาณศาสตร์ว่าด้วยชีวิตและความตาย การสื่อสารกับพระเจ้าและการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ผู้รู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากมายาเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระเจ้า พระเยซูได้ทรงแสดงพระฤทธานุภาพเหนือกาย จิต และอำนาจธรรมชาติ ให้เห็นตลอดพระชนม์ชีพและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราเข้าใจการฟื้นคืนพระชนม์อย่างมีเหตุผลแท้จริงนี้ได้ เมื่อเราเข้าใจโยคศาสตร์ที่อธิบายอย่างกระจ่างถึงหลักการที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู จากกายที่ถูกตรึงกางเขนสู่อิสระและแสงแห่งพระเจ้า...

    ไม่มีศาสตร์ใดให้รายละเอียดเกี่ยวกับการที่ปัจเจกวิญญาณแห่งพระเจ้าลงมาเป็นวิญญาณในมนุษย์ แล้ววิวัฒน์วิญญาณกลับสู่บรมวิญญาณ ในยุคใหม่นี้ กริยาโยคะได้ถูกนำกลับมาหลังจากสูญหายไปในยุคมืด และนี่เป็นวิธีเดียวที่จะเร่งการวิวัฒน์วิญญาณของมนุษย์ เปิดเส้นทางสมองร่วมไขสันหลัง ยกจิตให้สูงขึ้น ปลดปล่อยวิญญาณผ่านตาธรรมสู่แผ่นดินพระพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คริสตจิต และจิตจักรวาลแห่งพระบิดาเจ้า

    แผ่นดินของพระเจ้าในตัวท่าน

    คำสอนของพระเยซูคริสต์เรื่องการเข้าถึง “แผ่นดินพระเจ้าในตัวท่าน” สอดคล้องอย่างงดงามกับคำสอนของภควานกฤษณะในภควัทคีตา ตรงที่ให้ใช้โยคะฟื้นคืนอำนาจให้แก่วิญญาณราชา หรือภาพสะท้อนของพระเจ้าในมนุษย์ ให้กลับมาปกครองอาณาจักรกายได้อย่างชอบธรรม ด้วยการหยั่งรู้อย่างบริบูรณ์ถึงทิพยภาวะแห่งจิตของวิญญาณ เมื่อมนุษย์ตั้งมั่นอยู่กับอาณาจักรทิพยจิตภายใน สหัชญาณอันตื่นแล้วของวิญาณจะทะลุทะลวงม่านมายาของสสาร พลังชีวิต และจิต ได้พบแก่นทิพย์แห่งพระเจ้าในหัวใจของทุกสรรพสิ่ง...

    ราชาโยคะ วิถีการรวมกับพระเจ้า เป็นศาสตร์แท้จริงแห่งการหยั่งรู้แผ่นดินของพระเจ้าในกายตน ด้วยการปฏิบัติโยคสมาธิอันศักดิ์สิทธิ์นำจิตสู่ภายในตามคำสอนของคุรุที่แท้ บุคคลจะสามารถพบแผ่นดินนั้นได้ ด้วยการปลุกศูนย์พลังทิพย์แหละพลังเหตุของปราณและจิตในกระดูกสันหลังและสมอง ซึ่งเป็นประตูสู่จิตในแดนทิพย์ ผู้สามารถปลุกการตื่นรู้ได้แล้วเช่นนี้ ย่อมรู้สึกถึงสกลภาวะแห่งพระเจ้าในธรรมชาติอันไพศาลแห่งพระองค์ และในความบริสุทธิ์ของวิญญาณตน และแม้ในรูปและพลังที่เปลี่ยนแปรไปตามมายาในโลกวัตถุ

    flower

    พระเยซูลงลึกในคำสอน ที่ดูเผินๆ เสมือนง่าย—ลึกซึ้งกว่าที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจ...ที่อยู่ในคำสอนของพระองค์ คือโยคศาสตร์ทั้งหมด วิถีเหนือธรรมชาติแห่งการรวมกับพระเจ้าโดยการปฏิบัติสมาธิ

    สัจจะที่ซ่อนเร้นในภควัทคีตา

    ข้างล่างนี้ท่านจะได้อ่านบทคัดย่อจาก ภควัทคีตา—พระเจ้าสนทนากับอรชุน ราชศาสตร์แห่งการหยั่งรู้พระเจ้า อรรถาธิบายสองเล่มชุดซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูง ของ ปรมหังสา โยคานันทะ ดังที่ท่านกล่าวว่า “ความรู้ทั้งปวงเกี่ยวกับจักรวาลรวมกันอยู่ในคีตาซึ่งมีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยภาษาที่เผยแสดง...คีตาจึงเป็นที่เข้าใจและนำไปใช้ทุกระดับในความพยายามมุ่งมั่นทางศีลธรรม...เมื่อเราอยู่บนเส้นทางกลับสู่พระเจ้า คีตาจะส่องแสงสว่างให้แก่การเดินทางนั้น”

    ภควัทคีตา: คัมภีร์สากล

    สารสากลข้ามกาลเวลาแห่งคีตาแถลงสัจธรรมไว้อย่างทั่วถ้วน

    flower

    ภควัทคีตาหมายถึง “บทเพลงแห่งบรมวิญญาณ” ทิพย์สนทนาการหยั่งรู้สัจธรรมระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าผู้สร้าง เป็นคำสอนแห่งบรมวิญญาณผ่านวิญญาณ ที่จะต้องขับขานอย่างไม่หยุดยั้ง...สัจธรรมที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลกสามารถพบได้ในปัญญาไร้ที่สิ้นสุดใน 700 โศลกอันกระชับชัดเจนของคีตานี่เอง

    flower

    ความรู้ทั้งปวงเกี่ยวกับจักรวาลรวมกันอยู่ในคีตาซึ่งมีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง และเผยแสดงด้วยภาษาที่เรียบง่าย ไพเราะ งดงาม และให้การปลอบโยน คีตาจึงเป็นที่เข้าใจและนำไปใช้ทุกระดับในความพยายามมุ่งมั่นทางธรรม—เป็นที่พักพิงของมนุษย์มากมหาศาลที่มีธรรมชาติและความต้องการที่แตกต่างกัน เมื่อเราอยู่บนเส้นทางกลับสู่พระเจ้า คีตาจะส่องแสงสว่างให้แก่การเดินทางนั้น

    ถอดรหัสสัญลักษณ์โยคะและอุปมาอุปไมยในคีตา

    งานเขียนอันศักดิ์สิทธิ์ของยุคโบราณนั้น ไม่แยกประวัติศาสตร์จากสัญลักษณ์ศาสตร์อย่างชัดเจน และจริงๆ แล้วสองสิ่งนี้มักผสมกลมกลืนกันไปในการเปิดเผยธรรมของพระคัมภีร์ ศาสดาจะยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน และจากเหตุการณ์ในยุคสมัยของท่าน มาเปรียบเทียบเพื่อแสดงความจริงทางธรรมที่ประณีตซับซ้อน ความลึกซึ้งอันเป็นทิพย์นี้จึงเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้ เว้นแต่จะให้ความหมายกันด้วยถ้อยคำธรรมดา ดังที่เป็นบ่อยๆ คือศาสดาผู้รจนาคัมภีร์มักเขียนเป็นนิทานเปรียบเทียบที่มีนัยลึกซึ้ง ซ่อนธรรมะแห่งวิญญาณที่ล้ำลึกสำหรับจิตที่ยังโง่เขลาทางธรรม ไม่เคยผ่านการเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปิดเผยอันลึกล้ำที่สุดของบรมวิญญาณ

    ดังนั้น ด้วยการใช้ภาษาในเชิงอุปมา อุทาหรณ์และความเปรียบ ฤษีวยาสะจึงรจนาภควัทคีตาได้อย่างแจ่มกระจ่าง ด้วยการใช้ภาษาถักทอข้อมูลทางประวัติศาสตร์เข้ากับความจริงทางจิตวิทยาและทางธรรม เสนอภาพการสู้รบในจิตใจอันโครมครึก ที่ทั้งมนุษย์ผู้ข้องอยู่กับวัตถุและมนุษย์ฝ่ายธรรมต้องฝ่าฟัน โดยที่ท่านซ่อนความหมายทางธรรมอันลึกซึ้งที่สุดไว้ภายใต้เปลือกสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันการถูกล้างผลาญโดยความโง่เขลาแห่งยุคมืด ที่กำลังย่างกรายเข้ามาเมื่ออวตารของภควานกฤษณะละไปจากโลกนี้

    flower

    สิ่งที่ภควานกฤษณะตรัสแก่อรชุนในภควัทคีตาเป็นคัมภีร์ลึกซึ้งเกี่ยวกับโยคศาสตร์การรวมกับพระเจ้า เป็นคู่มือในชีวิตประจำวัน ศิษย์ก้าวไปทีละขั้นพร้อมกับอรชุน จากจิตปุถุชนที่เคลือบแคลงสงสัยในธรรม และจิตใจที่อ่อนแอ สู่การปรับเข้ากับพระเจ้าและการคลี่คลายภายใน

    flower

    ภควัทคีตาเป็นคัมภีร์อภิปรัชญาและจิตวิทยาที่เข้าใจได้ง่าย—อธิบายประสบการณ์ทั้งหลายที่จะเกิดแก่ผู้จาริกบนวิถีธรรมเพื่อการหลุดพ้น...ภาวะเชิงบวกที่ผู้ภักดีขวนขวายไปสู่ ขณะที่ภาวะเชิงลบพยายามทำให้เขาหันเหไปจากเป้าหมายปลายทาง “การเตือนคือการเตรียมความพร้อม!” ผู้ภักดีที่เข้าใจเส้นทางที่ตนกำลังเดินจะไม่มีวันหวั่นไหวท้อถอยจากอุปสรรคที่ไม่อาจเลี่ยง

    สงครามแห่งธรรมะ และชัยชนะอันประเสริฐในชีวิตประจำวัน

    สารข้ามกาลเวลาของภควัทคีตาใช่แค่พูดถึงการยุทธ์ในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่พูดถึงความขัดแย้งสากลระหว่างความดีกับความชั่ว: ชีวิตในฐานะการต่อสู้เรื่อยไประหว่างบรมวิญญาณกับสสาร วิญญาณกับร่างกาย ชีวิตกับความตาย ความรู้กับความเขลา สุขภาพกับโรคภัย ความไม่เปลี่ยนแปรกับความเปลี่ยนแปร การควบคุมตนกับการทดลอง ปัญญาแยกแยะกับจิตที่มืดมัวกับประสาทสัมผัส....

    ผู้ภักดีพึงวิเคราะห์เจตนาและการกระทำประจำวัน เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตของตนถูกควบคุมโดยอัตตา ความเขลา (มายา) และจิตที่ยึดโยงกับกาย และจะสามารถทำให้ปัญญาแห่งวิญญาณและทิพยธรรมชาติของตนสำแดงออกมาได้มากน้อยเพียงใด

    flower

    โยคสมาธิเป็นกระบวนการสั่งสมการรู้ธรรมชาติแท้จริงของตนและดำรงธรรมชาตินั้นไว้อย่างมั่นคง ด้วยวิธีพิเศษทางมิติวิญญาณและจิตวิทยา ตลอดจนกฎเกณฑ์ที่ทำให้อัตตาอันคับแคบ จิตที่บกพร่องของมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยจิตสำนึกแห่งวิญญาณ

    flower

    มนุษย์แต่ละคนต้องต่อสู้ในสงครามกุรุเกษรของตน ซึ่งเป็นสงครามที่ใช่แค่คุ้มแก่ชัยชนะเท่านั้น แต่ในระเบียบทิพย์แห่งจักรวาลและในความสัมพันธ์นิรันดร์ระหว่างวิญญาณกับพระเจ้า สงครามนี้ต้องได้รับชัยชนะไม่ช้าก็เร็ว

    ในภควัทคีตาอันศักดิ์สิทธิ์ การจะได้ชัยชนะเร็วที่สุดคือผู้ภักดีต้องมั่นใจว่า ด้วยการปฏิบัติโยคสมาธิทิพยศาสตร์อย่างไม่ย่อท้อเช่นเดียวกับอรชุน เขาจึงจะได้ฟังบทเพลงปัญญาแห่งบรมวิญญาณ

    วิถีที่สมดุลแห่งภควัทคีตา: การปฏิบัติสมาธิกับการกระทำที่ถูกต้อง

    [ชีวิตของศรีกฤษณะ] ได้แสดงถึงปรัชญาชีวิตที่ว่าไม่จำเป็นต้องหนีความรับผิดชอบต่อกิจกรรมการงาน—ซึ่งเป็นหลักที่ขัดแย้งสำหรับมนุษย์ที่จำกัดอยู่กับโลกซึ่งลมหายใจของชีวิตคือกิจกรรม—แต่มนุษย์ควรละวางความอยากทางโลกที่หวังผลจากการกระทำ ...มนุษย์ต้องฝึกจิตของตนด้วยการปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะสามารถกระทำกิจที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน พร้อมๆ กับสามารถดำรงจิตอยู่ภายในกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา...

    สารของศรีกฤษณะในภควัทคีตาเป็นคำตอบอันสมบูรณ์ให้แก่ยุคสมัยใหม่และทุกยุคทุกสมัย โยคะแห่งการกระทำหน้าที่ โยคะแห่งการไม่ยึดมั่นถือมั่น และโยคะแห่งการทำสมาธิเพื่อการหยั่งรู้พระเจ้า การทำงานอย่างขาดสันติสุขภายในกับพระเจ้าคือนรกดีๆ นี่เอง และการทำงานไปกับพระหรรษธารแห่งพระเจ้าที่หลั่งล้นอยู่ในวิญญาณของเรา คือการนำสวรรค์ไปด้วยในทุกที่ที่เราไป

    วิถีที่ภควานกฤษณะสนับสนุนในภควัทคีตาคือ การผ่อนปรน การเดินสายกลาง ซึ่งเป็นสุวรรณวิถีทั้งแก่มนุษย์ผู้มีภารกิจวุ่นวายอยู่ในโลก และแก่ผู้แสวงธรรมอย่างกระตือรือร้น การดำเนินตามวิถีแห่งภควัทคีตาจะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้น เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแห่งจักรวาลของการตระหนักรู้ในตน เป็นการแนะนำมนุษย์ให้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของตน อาตมัน (วิญญาณ) จะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาวิวัฒน์มาจากปรมาตมัน (บรมวิญญาณ) อย่างไร เขาจะทำหน้าที่ที่ถูกต้องบนโลกนี้ได้อย่างไร และเขาจะกลับไปสู่พระเจ้าได้อย่างไร ปัญญาญาณแห่งคีตาไม่ใช่ปัญญาสำหรับผู้ใช้สมองอย่างแห้งแล้ง ที่ใช้สมองคิดพลิกแพลงเพื่อความบันเทิงในเชิงทฤษฎี แต่เป็นปัญญาญาณที่ส่องให้ชายหญิงในโลกนี้ ทั้งผู้ครองเรือนและอนาคาริก เห็นถึงวิถีที่จะมีชีวิตอย่างมีดุลยภาพ ซึ่งรวมถึงการมีสัมผัสสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างแท้จริง ด้วยการปฏิบัติโยคะตามลำดับขั้นตอน

    ศาสตร์นิรันดร์แห่งราชาโยคะ

    เมื่อทรงสร้างโลกและสร้างมนุษย์นั้น อนันตภาวะไม่เพียงแต่ประทานพลังจักรวาลอันกอปรด้วยญาณปัญญาแห่งพระองค์ (มหาประกฤติหรือพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์) และอำนาจการผลัก (จิตจักรวาลแยกเป็นวิญญาณและสสาร) เท่านั้น แต่ทรงให้อำนาจในการเรียกวิญญาณจากการเวียนว่ายอยู่ในโลกของสสารกลับมารวมกับบรมวิญญาณด้วย ทุกสิ่งที่เกิด ดำรง และสุดท้ายสลายกลับสู่พลังจักรวาลอันทรงญาณปัญญาและกลับสู่บรมวิญญาณในที่สุด เส้นทางการสลายกลับนั้นเหมือนทุกอย่างกับเส้นทางการมาเกิด สำหรับมนุษย์แล้ว เส้นทางนั้นคือทางหลวงภายในสู่อนันตภาวะ เป็นเส้นทางเดียวที่ศาสนิกในทุกศาสนาในทุกยุคทุกสมัย สามารถกลับไปรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ไม่ว่าเขาจะเกิดมาบนเส้นทางความเชื่อหรือการปฏิบัติใด เมื่อมาถึงทางหลวงเส้นเดียวนี้แล้ว การกลับขึ้นสู่บรมวิญญาณจากจิตที่ยึดกายครั้งสุดท้ายนั้นเกิดได้เหมือนกันทุกคน ด้วยการถอนชีวิตและจิตจากประสาทรับความรู้สึก กลับสู่ประตูแสงในจักระสมองร่วมไขสันหลัง สลายจิตสสารเป็นพลังชีวิต สลายพลังชีวิตสู่จิต จิตสู่วิญญาณ และวิญญาณสู่บรมวิญญาณ วิธีการของการขึ้นไปนี้คือราชาโยคะ ศาสตร์นิรันดร์ซึ่งได้ถูกบูรณาการอยู่ในการสร้างโลกตั้งแต่เริ่มแรก

    flower

    วิธีปฏิบัติกริยาโยคะที่ศรีกฤษณะสอนอรชุนดังที่ปรากฏในคีตาบทที่ 4:29 และบทที่ 5:27-28 เป็นศาสตร์แห่งธรรมขั้นสูงสุดของโยคสมาธิ ถูกเก็บเป็นความลับในยุควัตถุ โยคะอันไร้การเสื่อมสลายนี้ถูกฟื้นขึ้นมาสำหรับมนุษย์ยุคใหม่โดยมหาวตารบาบาจี และสอนโดยคุรุแห่งเซลฟ์ รีอะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ/สมาคมโยโคทะสัตสังคะ แห่งอินเดีย ท่านบาบาจีได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เผยแพร่ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งการรวมกับพระเจ้านี้...

    ผู้ภักดีที่จะเป็นเช่นอรชุน—แบบอย่างของศิษย์ตามอุดมคติ—ทำหน้าที่โดยธรรมอย่างไม่ยึดมั่น ปฏิบัติโยคสมาธิได้อย่างบริบูรณ์ด้วยวิธีปฏิบัติเช่นกริยาโยคะ จะดูดดึงพรและการนำทางโดยพระเจ้า ได้รับชัยชนะคือการหยั่งรู้ตนเช่นเดียวกัน

    พระเจ้าจะสนทนากับท่าน เช่นเดียวกับที่ทรงสนทนากับอรชุน ดั่งที่พระองค์ทรงยกจิตสำนึกและวิญญาณของอรชุน พระองค์จะทรงยกวิญญาณของท่านเช่นเดียวกัน และดั่งที่พระองค์ทรงประทานนิมิตธรรมสูงสุดให้แก่อรชุน พระองค์ก็จะทรงประทานการเห็นแจ้งแก่ท่านเช่นเดียวกัน

    ในภควัทคีตาเราได้เห็นเรื่องราวการเดินทางของวิญญาณกลับสู่พระเจ้า—การเดินทางที่ทุกคนต้องทำ โอ ทิพยวิญญาณ! ผู้เหมือนอรชุน “จงละทิ้งความอ่อนแอเล็กๆ น้อยๆ (ของจิตมนุษย์!) ลุกขึ้นเถิด” ราชวิถีอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว

    สัจจะที่ซ่อนเร้นในรุไบยาต ของ โอมาร์ คัยยัม

    รหัสยเมรัย เป็นอรรถาธิบาย รุไบยาต ของ โอมาร์ คัยยัม อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน โดย ปรมหังสา โยคานันทะ ถือเป็นที่พบปะกันของบุรุษสามท่านผู้มีณาณกวีและหยั่งเห็นจิต-วิญญาณ ซ้ำยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ท่านทั้งสามนี้มีชีวิตอยู่ในห้วงเวลาต่างๆ ในช่วงเก้าร้อยปี โศลกกวีศตวรรษที่สิบเอ็ดของโอมาร์ คัยยัม และสำนวนแปลศตวรรษที่สิบเก้า โดย เอ็ดเวิร์ด ฟิตซ์เจอรัลด์ ได้สร้างความยินดีให้แก่ผู้อ่านมายาวนาน แต่ความหมายแท้จริงของบทกวียังเป็นที่ถกเถียงอยู่มาก การตีความอย่างกระจ่างแจ้งของปรมหังสา โยคานันทะได้เผยให้เห็นรหัสยสาระที่อยู่เบื้องหลังปริศนาอุปมาอุปไมยในวรรณกรรมคลาสิคเล่มนี้

    การตีความรุไบยาตของปรมหังสา โยคานันทะ เป็นหนึ่งในความพยายามตลอดชีวิตของท่าน ที่จะปลุกผู้คนทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกให้เข้าถึงการรู้อย่างลึกซึ้งถึงทิพยลักษณะที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วในตน เช่นเดียวกับมุนีผู้รู้แจ้งในขนบแห่งมิติวิญญาณทั้งหลาย ศรีโยคานันทะเห็นสัจจะหนึ่งเดียวที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีและการปฏิบัติของศาสนาทั้งหลายในโลก ซึ่งเป็นความจริงแท้ทางมิติวิญญาณ ด้วยสกลทัศนะและการเห็นอย่างกว้างไกลไพศาล ท่านจึงเห็นแจ้งถึงความเป็นญาติใกล้ชิดระหว่างคำสอนของศาสตร์โยคะเก่าแก่ของอินเดีย กับ ข้อเขียนของโอมาร์ คัยยัม มหากวีที่ผู้คนเข้าใจผิดกันมากที่สุดในบรรดารหัสยกวีแห่งโลกอิสลาม

    หนังสือเล่มนี้ใช่แค่ให้อรรถาธิบาย แต่ยังได้ให้คำสอนทางธรรมเพื่อการปฏิบัติในชีวิต ท่านปรมหังสา โยคานันทะเปิดเผยว่า เบื้องหลังจินตภาพของโอมาร์ คัยยัม คือ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งงดงามถึงความปีติเบิกบานและเป้าหมายประเสริฐของชีวิตมนุษย์

    “การเปิดเผยของโอมาร์ คัยยัม”

    จาก คำนำ รหัสยเมรัย โดย ปรมหังสา โยคานันทะ

    “นานมาแล้วที่ประเทศอินเดีย ข้าพเจ้าได้พบกับกวีผู้เฒ่าชาวเปอร์เซีย ท่านได้บอกข้าพเจ้าว่า บทกวีของเปอร์เชียนั้นมักมีสองความหมาย คือ นัยภายในกับนัยภายนอก ข้าพเจ้าจำได้ว่ารู้สึกดีใจมากเมื่อได้ฟังท่านอธิบายถึงนัยความหมายสองระดับของบทกวีเปอร์เชีย

    “วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจดจ่อจิตอย่างลึกซึ้งอยู่กับบทกวี รุไบยาต ของ โอมาร์ คัยยัม ข้าพเจ้าเห็นกำแพงความหมายภายนอกพังทลาย ป้อมค่ายภายในบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคารแห่งมิติวิญญาณอันเรืองรองแผ่เผยอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า

    “นับแต่นั้นมา ข้าพเจ้าชื่นชมความงามแห่งปราสาทญาณปัญญาของ รุไบยาต ที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปราสาทฝันแห่งสัจจะที่ดวงตาลึกซึ้งอาจเห็นได้ น่าจะเป็นที่พักพิงให้แก่วิญญาณที่แสวงหาที่พึ่งอาศัยให้พ้นภัยจากอวิชชาศัตรูร้าย….

    “ขณะที่ข้าพเจ้าทำงานในการตีความด้านจิตวิญญาณของ รุไบยาต การงานนี้ได้นำข้าพเจ้าเข้าไปในเขาวงกตสัจจะอันซับซ้อน จนข้าพเจ้าปลาบปลื้มลืมตนอยู่ในความอัศจรรย์ล้ำล้น อุปมาอุปไมยที่คัยยัมซ่อนบังไว้ในโศลกกวีกับทั้งปรัชญาที่ปฏิบัติได้จริง ทำให้ข้าพเจ้านึกถึง ‘พระธรรมวิวรณ์ของนักบุญยอห์น ทิพยบุคคล’ จึงอาจพูดได้อย่างไม่พลั้งพลาดว่า รุไบยาต คือ ‘พระธรรมวิวรณ์ ของ โอมาร์ คัยยัม’”

    flower

    ข้างล่างนี้เป็นการคัดย่อบางบทจาก รหัสยเมรัย โดย ปรมหังสา โยคานันทะ

    ว่าด้วยการทำสมาธิและการสนทนากับพระเจ้า...

    ณ ที่นี้ มีเพียงขนมปัง นั่งใต้ร่มไม้

    ใกล้เหยือกเมรัย กับสมุดกวี—และพระองค์

    เคียงข้างข้าฯ ขับลำนำกลางไพร—

    ป่านี้ไซร้คือสวรรค์นั่นเอง

    “นั่งสงบอยู่กับความเงียบลึกในการทำสมาธิ จดจ่อจิตที่ต้นไม้แห่งชีวิตและจิตสำนึกแห่งวิญญาณบนแกนสมองร่วมไขสันหลัง ข้าพักอยู่ใต้ร่มเงาแห่งศานติ มี ‘ขนมปัง’ หรือปราณหล่อเลี้ยงชีวิต ข้าดื่มเมรัยเก่าแก่เมามายถึงพระเจ้าอย่างท่วมท้นวิญญาณ หัวใจของข้าร่ายลำนำรักต่อพระองค์ผู้ทรงความนิรันดร์ ในท่ามกลางป่าไพรแห่งกายเงียบสงัด—ที่ซึ่งตัณหาวุ่นวายได้ตายไป—ข้าสนทนากับพระองค์ พระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักอย่างล้ำล้น พระองค์ผู้ทรงขับขานพระพรสุดเลิศล้ำ พระองค์ทรงประทานดนตรีญาณปัญญาอันไพเราะงดงามไว้ในกายข้า อา ป่าไพรอันพ้นแล้วจากเสียงกึกก้องของกิเลสทางโลกและความหลงไหล! ในความโดดเดี่ยวนี้ ข้ามิได้เปล่าเปลี่ยว ในความเงียบแสนสันโดษภายใน ข้าได้พบสรวงสวรรค์อันน่ายินดีมิมีสุดสิ้น”

    ว่าด้วยศานติภายในและความสมปรารถนา...

    ผู้หลงโลก วางใจในสิ่งสลายง่าย

    แค่ได้สมหมายชั่วขณะ

    ดุจหิมะบนท้องทะเลทราย

    ฉายประกายวูบหนึ่ง ก็ถึงกาลอวสานแล

    มีแต่คนเขลาเท่านั้นที่หวังความสมบูรณ์และความสมปรารถนาอย่างยั่งยืนจากโลก ที่สุดแล้วก็ใจสลายเข้าสู่ประตูความตาย ผู้รู้แจ้งรู้ถึงธรรมชาติอันลวงหลงของโลก จะไม่สร้างความหวังที่นี่ เมื่อไม่หวั่นไหวไปกับตัณหาทางโลก ผู้มีปัญญาจึงแสวงหาสัจจะอันเที่ยงแท้ เข้าถึงความสมปรารถนาอันไพศาลนิรันดร์

    อา ที่รักของข้า รินเมรัยใส่ถ้วย

    ที่ช่วยวันนี้ ขับขานความเศร้าเสียใจในอดีต ขับความกลัวอนาคต

    กลัวทำไมกัน วันพรุ่งนี้

    วันที่ข้าอาจอยู่กับวันวานเจ็ดพันปี

    โอ้ วิญญาณข้าเอ๋ย! จงเติมจิตของข้าด้วยอมฤตแห่งปีติ ที่ไหลหลั่งจากถังทิพยเกษม ไม่มีสิ่งใดนอกจากการได้สนทนากับพระเจ้าเท่านั้นที่จะขับไล่ความทรงจำถึงความผิดพลาดในอดีตที่ตามหลอน และความกลัวการกระทำผิดในกาลข้างหน้า ที่จะให้ทุกข์โทษแก่ข้า

    flower

    โดยการทำสมาธิลึกบุคคลจะมีประสบการณ์กับศานติภายในที่สงบหนักแน่น ซึ่งเอื้อให้แก่ความกลมกลืนทั้งปวง หรือกิจกรรมหนักหน่วงที่ชีวิตต้องรับผิดชอบ...กองทรายไม่ทนต่อการซัดกัดกร่อนของคลื่นสมุทร ปัจเจกผู้ขาดศานติภายในที่มั่นคงไม่อาจสงบอยู่ได้ยามที่จิตใจขัดแย้ง แต่เช่นเดียวกับเพชรที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าโดนคลื่นซัดสักเพียงใด ปัจเจกผู้หนักแน่นอยู่กับศานติย่อมสงบผ่องใสท่ามกลางความยากลำบากที่กลุ้มรุมเข้ามา ขอให้เราใช้สมาธิกอบกู้เพชรจิตสำนึกแห่งวิญญาณอันไร้การเปลี่ยนแปลงจากกระแสน้ำแห่งชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ให้เพชรนั้นได้ส่องประกายความปีตินิรันดร์แห่งบรมวิญญาณ

    ว่าด้วยการแสวงธรรม...

    เมล็ดพันธุ์ปัญญาท่าน ข้าได้บ่มเพาะ

    ด้วยมืออันเหมาะเจาะจนเติบใหญ่

    สิ่งที่ข้าได้เก็บเกี่ยวมีแค่นี้ไง

    “ข้ามาเหมือนน้ำ และจากไปเหมือนลม”

    เมล็ดพันธุ์แห่งญาณปัญญา เป็นสิ่งที่คุรุหรืออาจารย์ผู้หยั่งรู้ตนได้มอบให้ แต่ผืนดินหรือการรับไว้และการเพาะปลูกเล็ดพันธุ์นั้น เป็นสิ่งที่ผู้แสวงธรรมต้องปฏิบัติด้วยตนเอง... ตบะหรือวินัยในตนนั้นไม่ใช่การทรมานตน แต่เป็นวิธีจัดการและกำหนดพลังจิตที่แส่ส่ายต่อนิสัยบางอย่างในการใช้ชีวิต ให้นำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง พึงทำตามแบบอย่างการสร้างวินัยตน เราจะสามารถกำจัดความกระวนกระวาย นิสัยไม่ดี และแรงปรารถนาที่ก่อให้เกิดความทุกข์ อันนำเราไปสู่ความสุขแท้จริง เมื่อเราอ่อนแอ ฟุ้งซ่าน จิตใจไม่หนักแน่น เรายังอยู่กับโลกเหมือนน้ำ แต่เมื่อเราเข้าถึงธรรมโดยมีวินัยแห่งตนและการทำสมาธิลึก เราจะเหินไปเหมือนลม ตามธรรมชาติแท้จริงของวิญญาณอันมีอยู่ทุกหนแห่ง

    ว่าด้วยการข้ามพ้นกฎแห่งกรรม...

    โลกคือกระดานหมากรุก คืน วัน

    มนุษย์ผันแล่นไปตามลิขิต

    ขยับทำโน่นนี่ สะดุดหยุด และถูกพิชิต

    ค่อยๆ ทยอยสู่กล่องเก็บ

    กระดานหมากรุกประกอบด้วยตารางขาวดำที่ตัวหมากรุกเป็นตัวแทนคุมกระดานจัดการให้ลิ่วล้อเดินไป เช่นเดียวกับโลก ที่หมุนวนคืนวันสลับสับเปลี่ยนดุจกระดานหมากรุกมหึมาที่ชีวิตมนุษย์ต้องเดินไป...มนุษย์ขยับจากเงื่อนไขหนึ่งหรือภาวะหนึ่งไปสู่อีกหนึ่งภาวะตลอดชีวิต เปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อยๆ ไม่อาจเดินตามแผนการของตน จนสุดท้ายชีวิตสิ้นไปเมื่อเปลี่ยนสู่ความตาย...

    เมื่อชะตากรรมดำเนินเกมชีวิตของเรา ไม่ว่า ก้าวหน้า สะดุด หรือ ถอยหลัง จงระลึกว่า ทั้งหมดนั้นคือผลกรรมที่เราได้กระทำไว้ในชาติก่อน อย่าด่าทอสาปแช่งชะตากรรมยามเป็นทุกข์ และอย่าสรรเสริญความโชคดีว่าเป็นผู้นำความสุขสมใจมาให้ จำไว้ว่ามือของเรานั้นแหละที่เป็นตัวหมุนเหตุการณ์ในชีวิต เมื่อใดที่เป็นทุกข์กับชะตากรรมที่กระทำเอง จงเตือนตนว่าพระเจ้าทรงให้อำนาจการเลือกเสรีที่เราอาจเปลี่ยนชะตากรรมได้ การเพียรพยายามอยู่กับความถูกต้องจะค่อยๆ ส่งผลดี ยิ่งไปกว่านั้นการรวมเจตจำนงของเราเข้ากับทิพยปัญญาแห่งพระเจ้าในการทำสมาธิลึก เราจะรู้ความหมายแท้จริงของการหลุดพ้นได้ในทันที

    flower

    แทนที่จะปล่อยให้เวลาและโชคชะตาควบคุมชะตากรรมของเรา บดขยี้ความมีชีวิตชีวาชาติแล้วชาติเล่า ทำไมไม่ให้พระเจ้าทำให้เราเป็นอมตะด้วยทิพยสัมผัสของพระองค์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราไม่ต้องคลานไปพักอยู่ในตักของชีวิตหลังความตาย เมื่ออยู่กับพระเจ้า เราจะเป็นชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความเป็นทาสอยู่หลังกำแพงอันคับแคบของอดีต ปัจจุบัน อนาคต

    ว่าด้วยความหมายของละครจักรวาล...

    โอ้ รักเอย เจ้ากับข้า ด้วยชะตาฟ้าลิขิต

    ได้แจ้งจิตแผนน่าเศร้าของทุกสิ่ง

    อย่าประวิง ป่นสลายให้หมดสิ้น

    แล้วสร้างใหม่ให้ได้อย่างใจจินต์

    เมื่อทำได้เช่นนี้ มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงบทบาทของพระผู้สร้าง ทำสิ่งดีๆ ให้แก่โลกเกินกว่าที่ใจของคนจะนึกไปถึง การถวิลหาความสุขพิสุทธิ์นี้เกิดจากแก่นวิญญาณที่พระเจ้าทรงซุกซ่อนความสมบูรณ์และพรนิรันดร์ไว้ให้แล้วในตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์

    โลกนี้คือทิพยปริศนา—ชั่วกับดี ทุกข์กับสุข ความตายกับชีวิต...เราไม่ควรใช้สมองมากเกินไปจนกลายเป็นคนไม่เชื่อแผนการสร้างของพระเจ้า ถ้าเรายังไม่เข้าใจละครย้อนแย้งระหว่างความดีกับความชั่ว ความสุขกับความทุกข์ ความมั่งมีกับความยากจน สุขภาพกับโรคภัย ปัญญากับความโง่ สันติสุขกับสงคราม ความเมตตากับความโหดร้ายของธรรมชาติ ละครที่ประสบความสำเร็จต้องมีตอนที่ตื่นเต้น เร้าใจ ใจหายใจคว่ำ หรือน่าฉงน จนจบลงด้วยรสชาติอันน่าพึงใจของละคร... ทำนองเดียวกัน เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะทรงเปิดม่านรับทุกวิญญาณขึ้นมาสู่พระองค์ ปิดฉากละครจักรวาล เบื้องหลังการแสดงที่มีทั้งทุกข์และสุข ไปจนถึงตอนสุดท้ายที่ได้เผยเป้าหมายอันเลิศประเสริฐแห่งพระองค์

    ว่าด้วยความรักของพระเจ้า...

    บุรุษหนึ่งกล่าวว่า— “ชาวประชาในร้านเมรัย

    ทาหน้าด้วยควันไฟนรก

    เพ้อพกพูดว่าพระองค์ทรงทดลองเรา-โง่เง่า!

    พระองค์ทรงความดี และเราทุกคนจะดี

    หลายคนสร้างภาพพระองค์ผู้ทรงสร้าง ว่าทรงทดลองเราอย่างเข้มงวดด้วยควันของความโง่เขลาและไฟการลงทัณฑ์ ทรงตัดสินการกระทำของมนุษย์อย่างถี่ถ้วนไร้หัวใจ พวกเขาได้บิดเบือนมโนทัศน์แท้จริงของพระเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงความรักและกรุณา ให้กลายเป็นผู้ที่เข้มงวด ใช้อำนาจแก้แค้นอย่างไม่ผ่อนผัน แต่ผู้ภักดีที่สื่อสารกับพระเจ้ารู้ว่า โง่เขลานัก ที่คิดถึงพระองค์เป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นพระองค์ผู้ทรงกรุณา เป็นอู่ความรักและความดีที่สุดไพศาล ในเมื่อพระเจ้า พระบิดาแห่งจักรวาลทรงความดี ทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีแก่บุตรของพระองค์ มนุษย์และสิ่งสร้างทั้งหลายกำลังเคลื่อนสู่การรวมกับพระองค์อย่างเรืองโรจน์

    จากคำนำของปรมหังสา โยคานันทะ ในหนังสือ The Holy Science ผลงานอันลึกซึ้งเขียนโดยคุรุของท่าน ว่าด้วยความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพระคริสต์ธรรมคัมภีร์กับคัมภีร์ฮินดู

    “ผู้เผยพระวจนะในทุกหนแห่งและทุกยุคทุกสมัยล้วนสำเร็จในการแสวงหาพระเจ้า เข้าสู่ภาวะเห็นแจ้งแท้จริง นิรวิกัลปสมาธิ มุนีเหล่านี้หยั่งถึงความจริงสูงสุดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนามและรูปทั้งหลาย ปัญญาและคำแนะนำทางธรรมของท่านกลายมาเป็นคัมภีร์ของโลก ซึ่งแม้ภายนอกมีความแตกต่างกันด้วยเหตุผลของอาภรณ์ภาษาที่แตกต่างหลากหลาย แต่ล้วนแสดงถึงสัจจะพื้นฐานแห่งบรมวิญญาณอย่างเดียวกัน ซึ่งบางคติเปิดเผยและชัดเจน ส่วนบางคติซ่อนเร้นหรือแสดงด้วยสัญลักษณ์

    “ฌานวตาร สวามีศรียุกเตศวร (1855-1936) แห่งเซรัมปอร์ คุรุเทพของข้าพเจ้า เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยความเป็นหนึ่งเบื้องหลังคริสต์ธรรมคัมภีร์กับสนาตนธรรม ท่านวางคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้บนโต๊ะแห่งจิตไร้มลทินของท่าน แล้วสามารถจำแนกแจกแจงด้วยมีดแห่งสหัชญาณเหตุผล แยกการตีความผิดๆ ของนักปราชญ์ที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายหลายขั้ว จากความจริงที่พระผู้เผยพระวจนะได้ให้ไว้แต่เดิม”